วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ปุ๋ยหมัก


1. มีการปรับปรุงดินให้มีความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งสามารถทำได้โดย
1) ปรับปรุงดินโดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยชีวภาพ : ปุ๋ยอินทรีย์ ได้แก่ ปุ๋ยหมักปุ๋ยน้ำชีวภาพ และปุ๋ยพืชสด ส่วนปุ๋ยชีวภาพ ได้แก่ ไรโซเบียม ไมโคไรซ่า ปุ๋ยเหล่านี้จะให้ทั้งธาตุหลักและธาตุอาหารรองแก่พืชอย่างครบถ้วน จึงใช้ทดแทนปุ๋ยเคมี

ปุ๋ยหมัก
2) การคลุมดิน : ทำได้โดยใช้เศษพืชต่าง ๆ จากไร่-นา เช่น ฟาง หญ้าแห้ง ต้นถั่ว ใบไม้ ขุยมะพร้าว เศษเหลือทิ้งจากไร่นา หรือ กระดาษหนังสือพิมพ์ พลาสติกคลุมดิน หรือการปลูกพืชคลุมดิน การคลุมดินมีประโยชน์หลายประการ คือ ช่วยป้องกันการชะล้างของหน้าดิน และรักษาความชุ่มชื้นของดินเป็นการอนุรักษ์ดินและน้ำ ช่วยทำให้หน้าดินอ่อนนุ่มสะดวกต่อการไชชอนของรากพืช ซึ่งประโยชน์ต่าง ๆ ของการคลุมดินดังกล่าวมานี้จะช่วยส่งเสริมให้พืชเจริญเติบโตดีและให้ผลผลิตดี
3) การปลูกพืชหมุนเวียน : เนื่องจากพืชแต่ละชนิดต้องการธาตุอาหารแตกต่างกันทั้งชนิดและปริมาณ อีกทั้งระบบรากยังมีความแตกต่างกันทั้งในด้านการแผ่กว้างและหยั่งลึก ถ้ามีการจัดระบบการปลูกพืชอย่างเหมาะสมแล้ว จะทำให้การใช้ธาตุอาหารมีทั้งที่ถูกใช้และสะสมสลับกันไปทำให้ดินไม่ขาดธาตุอาหารธาตุใดธาตุหนึ่ง

ดินดีปลูกอะไร อะไรก็งอกงาม ต้านทานโรคแมลงและให้ผลผลิตดี มีคุณภาพ
2. ปลูกพืชหลายชนิด : การปลูกพืชหลายชนิดเป็นการจัดสภาพแวดล้อมในไร่-นา ซึ่งจะช่วยลดการระบาดของโรคและแมลงศัตรูพืชได้ เนื่องจากการปลูกพืชหลายชนิดจะทำให้มีความหลากหลายทางชีวภาพ มีแหล่งอาหารที่หลากหลายของแมลงจึงมีแมลงหลากหลายชนิดมาอาศัยอยู่ร่วมกัน ในจำนวนแมลงเหล่านี้ จะมีทั้งแมลงที่เป็นศัตรูพืชและแมลงที่เป็นศัตรูธรรมชาติ ที่จะช่วยควบคุมแมลงศัตรูพืชให้คล้ายคลึงกับธรรมชาติในป่าที่อุดมสมบูรณ์นั่นเอง
2.1) การปลูกหมุนเวียน : เป็นการไม่ปลูกพืชชนิดเดียวกันหรือตระกูลเดียวกันติดต่อกันบนพื้นที่เดียวกัน การปลูกพืชหมุนเวียนจะช่วยหลีกเลี่ยงการระบาดของโรคและแมลงและช่วยประโยชน์ในทางด้านการปรับปรุงดิน
2.2) การปลูกพืชแซม : การเลือกพืชมาปลูกร่วมกัน หรือแซมกันนั้นพืชที่เลือกมานั้นต้องเกื้อกูลกัน เช่น ช่วยป้องกันแมลงศัตรูพืช ช่วยเพิ่มธาตุอาหารให้อีกชนิดหนึ่ง ช่วยคลุมดิน ช่วยเพิ่มรายได้ก่อนเก็บเกี่ยวพืชหลัก เป็นต้น3. อนุรักษ์แมลงที่มีประโยชน์ : ซึ่งสามารถทำได้โดย
3.1) การที่ไม่ใช้สารเคมี เนื่องจากสารเคมีทำลายทั้งแมลงศัตรูพืชและแมลงศัตรูธรรมชาติที่มีประโยชน์ด้วย
3.2) ปลูกดอกไม้สีสด ๆ เช่น บานชื่น ทานตะวัน บานไม่รู้โรย ดาวเรือง ดาวกระจาย เป็นต้น โดยปลูกไว้รอบแปลง หรือปลูกแซมลงในแปลงเพาะปลูก สีของดอกไม้จะดึงดูดแมลงนานาชาติและในจำนวนนั้นก็มีแมลงศัตรูธรรมชาติด้วย จึงเป็นการเพิ่มจำนวนแมลงศัตรูธรรมชาติในแปลงเพาะปลูกซึ่งจะช่วยควบคุมแมลงศัตรูพืชให้แก่เกษตรกรปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยชีวภาพ
ในการทำเกษตรธรรมชาติเนื่องจากเราไม่ใช้ปุ๋ยเคมีแต่จะหันมาปรับปรุงดินโดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยชีวภาพแทน ปุ๋ยอินทรีย์ ได้แก่ ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยน้ำชีวภาพ และปุ๋ยพืชสด (สำหรับปุ๋ยคอกไม่ได้กล่าวถึงเนื่องจากนำปุ๋ยคอกหรือมูลสัตว์นำมาใช้เป็นวัสดุในการทำปุ๋ยหมัก) ส่วนปุ๋ยชีวภาพ ได้แก่ ไรโซเบียม ไมโคไรซ่า ทั้งปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยชีวภาพเหล่านี้จะให้ทั้งธาตุอาหารหลักและธาตุอาหารรองแก่พืชอย่างครบถ้วนและในปริมาณที่มากพอจึงใช้ทดแทนปุ๋ยเคมีในการเพาะปลูกพืชได้ และการใช้ปุ๋ยชีวภาพร่วมด้วยก็จะช่วยทำให้ต้องใช้ปุ๋ยหมักมาก จึงเป็นไปได้ที่จะทำเกษตรธรรมชาติในพื้นที่แปลงใหญ่มิใช่ทำแปลงเล็กหรือสวนครัวหลังบ้านเท่านั้น
การเปรียบเทียบผลของปุ๋ยเคมีและปุ๋ยอินทรีย์/ปุ๋ยชีวภาพที่มีต่อดิน
ลักษณะปุ๋ยเคมีปุ๋ยอินทรีย์/ชีวภาพ(จุลินทรีย์)
1. การดูดซับธาตุอาหารไม่มีดูดซับได้ดี
2. การอุ้มน้ำไม่มีทำให้ดินอุ้มน้ำได้ดีขึ้น
3. ความร่วนซุยของดินทำให้ดินอัดตัวเป็นก้อนแข็งในระยะยาวดินร่วนซุยดี
4. ระดับความเป็นกรดเพิ่มขึ้นช่วยรักษาสมดุลของความเป็นกรดด่าง
5. ระยะเวลาที่มีผลในดินระยะสั้นแต่จะหายไปเร็วจากการชะล้างหรือเปลี่ยนรูปคงอยู่ในดินนาน
6. ความเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์เติบโตดีแต่เพียงระยะสั้นในระยะยาวไม่ดีเติบโตดีและนาน
7. การขยายพันธุ์ของแมลงศัตรูพืชขยายพันธุ์รวดเร็วไม่มีผล
8. การป้องกันโรคพืชไม่ช่วยป้องกันช่วยป้องกัน

การป้องกันและกำจัดศัตรูพืชโดยวิธีเกษตรธรรมชาติ
การฟื้นฟูความสมดุลของธรรมชาติในไร่-นาที่ผ่านการใช้สารเคมีในรูปแบบต่าง ๆ มาอย่างมากและเป็นเวลานานให้กลับคืนมาตามหลักการทั้ง 3 ข้อ เป็นเรื่องที่เกษตรกรสามารถทำได้โดยใช้เวลาแต่ในปีแรก ๆ จะประสบปัญหาโรคและแมลงรบกวนบ้าง เนื่องจากดินที่เริ่มถูกปรับปรุงยังไม่มีความอุดมสมบูรณ์ดีพอ และมีสารปนเปื้อนอยู่มากทำให้พืชยังไม่สามารถเติบโตและแข็งแรงได้อย่างเต็มที่ ทำให้อ่อนแอต่อการทำลายของโรคและแมลงศัตรูพืช อีกทั้งศัตรูธรรมชาติของแมลงศัตรูพืชก็ยังน้อยอยู่ จึงทำให้เกษตรกรประสบปัญหาโรคแมลงศัตรูพืชรบกวนและผลผลิตต่ำในระยะ 1-3 ปีแรก แต่หลังจากนั้นไปถ้ามีการจัดการดีจะทำให้ปัญหาโรค และแมลงศัตรูพืชลดลงพร้อมทั้งผลผลิตก็จะสูงขึ้น การเพาะปลูกพืชก็ง่ายขึ้น การใช้ปุ๋ยธรรมชาติก็ลดลงรวมทั้งการป้องกันกำจัดศัตรูพืช ก็ใช้ปัจจัยน้อยลงซึ่งก็หมายถึงต้นทุนการผลิตลดลง แต่ผลผลิตสูงขึ้นซึ่งเป็นการทำการเกษตรที่ยั่งยืน
การป้องกันและกำจัดวัชพืช
1. ใช้วิธีการถอน ใช้จอบถาง ใช้วิธีการไถพรวน
2. ใช้วัสดุคลุมดินซึ่งเป็นการปกคลุมผิวดินช่วยอนุรักษ์ดินและน้ำ และเป็นการเพิ่มอินทรีย์วัตถุให้กับดินอีกด้วย โดยส่วนใหญ่มักใช้วัสดุตามธรรมชาติ ได้แก่ เศษซากพืชหรือวัสดุเหลือใช้ในการเกษตร เช่น ฟางข้าว ตอซังพืช หญ้าแห้ง ใบไม้แห้ง ต้นถั่ว ขุยมะพร้าว กากอ้อย แกลบ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีพลาสติกที่ผลิตขึ้น สำหรับการคลุมดินโดยเฉพาะซึ่งสามารถนำมาใช้ได้เช่นกัน
3. ปลุกพืชคลุมดิน เช่น การปลูกพืชตระกูลถั่วคลุมดินในสวนไม้ผล การปลูกพืชต่าง ๆ เช่น ผัก ไม้ดอก สมุนไพร แซมในสวนไม้ผล เป็นต้น
การป้องกันและกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืช
1. การป้องกันและกำจัดโดยวิธีกล (mechanical control) เช่น การใช้มือจับแมลงมาทำลาย การใช้มุ้งตาข่าย การใช้กับดักแสงไฟ การใช้กับดักกาวเหนียว เป็นต้น
2. การป้องกันและกำจัดโดยวิธีเขตกรรม (cultural control) เช่น
   1) การดูแลรักษาแปลงให้สะอาด
   2) การหาระยะเวลาที่เหมาะสมในการปลูกพืช
   3) การเก็บเกี่ยวพืชเพื่อหลีกเลี่ยงการทำลายของโรคและแมลง
   4) การใช้ระบบการปลูกพืช เช่น การปลูกพืชหมุนเวียน การปลูกพืชแซม
   5) การจัดการให้น้ำ
   6) การใส่ปุ๋ยให้เหมาะสมกับความต้องการของพืชเพื่อลดการทำลายของโรคและแมลง
3. การป้องกันและกำจัดศัตรูพืชโดยชีววิธิ (biological control) คือการใช้ประโยชน์จากแมลงศัตรูธรรมชาติ คือ
   1) ตัวเบียน (parasite) ส่วนใหญ่หมายถึง แมลงเบียน (parasitic insects) ที่อาศัยแมลงศัตรูพืชเพื่อการดำรงชีวิตและการสืบพันธุ์ซึ่งทำให้แมลงศัตรูพืชตายในระหว่างการเจริญเติบโต
   2) ตัวห้ำ ได้แก่ สิ่งมีชีวิตที่ดำรงชีวิตโดยการกินแมลงศัตรูพืชเป็นอาหารเพื่อการเจริญเติบโตจนครบวงจรชีวิต ตัวห้ำพวกนี้ได้แก่
    สัตว์ที่มีกระดูกสันหลังได้แก่ สัตว์ปีก เช่น นก สัตว์เลื้อยคลาย เช่น งู กิ้งก่าสัตว์ ครึ่งบกครึ่งน้ำ เช่น กบ
    ตัวห้ำส่วนใหญ่ที่มีความสำคัญในการควบคุมแมลงและไรศัตรูพืชได้แก่สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เช่น แมงมุม ไรตัวห้ำ และตัวห้ำส่วนใหญ่ได้แก่แมลงห้ำ (predatory insects) ซึ่งมีมากชนิดและมีการขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว
3) เชื้อโรค ส่วนใหญ่หมายถึงจุลินทรีย์ที่ทำให้แมลงศัตรูพืชเป็นโรคตาย เช่น เชื้อไวรัสแบททีเรีย รา โปรโตซัว ไส้เดือนฝอยทำลายแมลงศัตรูพืช
4. การป้องกันโดยใช้พันธุ์พืชต้านทาน (host plant resistance)
5. การป้องกันและกำจัดศัตรูพืชโดยใช้สมุนไพรต่าง ๆ
จัดทำโฮมเพจโดย : สำนักบริการคอมพิวเตอร์, 14 พ.ย. 2543

การปลูกพืชผัก



โดย อาจารย์ทิพวรรณ สิทธิรังสรรค์

จากพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสเสด็จทอดพระเนตร โครงการศูนย์ฝึกอบรมเยาวชนเกษตร วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2530 โดยให้ศูนย์ฯ แห่งนี้ดำเนินการแก้ไขสภาพดินเสื่อมโทรม และให้ความรู้ด้านการอนุรักษ์ดินและน้ำแก่ราษฎรทั่วไป เนื่องจากบริเวณนี้มีสภาพแห้งแล้งดินขาดความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งในปัจจุบันการเพาะปลูกของประเทศไทย ก็ประสบปัญหาหลายประการ ที่สำคัญประการแรกคือ ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ กล่าวคือพื้นที่การเกษตรของประเทศไทยประมาณ 80% เป็นดินที่ขาดความอุดมสมบูรณ์ มีเป็นกรดสูง และที่สำคัญเป็นดินที่ขาดจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อดิน และต่อพืชซึ่งเรียกได้ว่าเป็นดินตาย สาเหตุก็มาจากการปลูกพืชชนิดเดียวกันซ้ำกันหลายปี ไม่มีการปลูกพืชหมุนเวียนอีก ทั้งมีการใช้ปุ๋ยเคมีเพียงอย่างเดียวเป็นส่วนใหญ่ สุดท้ายก็ทำให้เกิดสภาพดินกรด ขาดความอุดมสมบูรณ์เกษตรกรปลูกพืช แล้วให้ผลตอบแทนได้ไม่เต็มที่
ประการที่สองเกษตรกรประสบปัญหาแมลงศัตรูพืชชนิดต่าง ๆ รบกวนไม่ว่าจะเป็นสวนผัก สวนผลไม้ ไม้ดอก-ไม้ประดับ พืชไร่-นา ชนิดต่าง ๆ และหนทางที่เกษตรกรเลือกใช้แก้ปัญหา ส่วนใหญ่ก็คือสารเคมีฆ่าแมลงแต่จากการที่เกษตรกร ขาดความรู้ความเข้าใจในการเลือกใช้สารเคมี วิธีการใช้ที่เหมาะสม ช่วงเวลาในการใช้ เกษตรกรใช้สารเคมีหลายชนิดซ้ำซ้อนกัน และในปริมาณที่มากเกินความจำเป็น มีผลทำให้สารพิษตกค้างในผลผลิต มีต้นทุนการผลิตสูง เป็นอันตรายต่อเกษตรกรผู้ผลิตเอง และผู้บริโภคเองก็ได้รับอันตรายเช่นกันมีผู้บริโภคจำนวนมาก ที่ต้องหวาดระแวงกับพิษภัยของสารพิษตกค้างในอาหาร และที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือมีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมในภูมิภาคนั้น อีกทั้งในปัจจุบันกระแสความต้องการผลผลิต ทางการเกษตรที่ปลอดภัยจากสารพิษของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ กำลังมีความต้องการและเป็นที่ยอมรับมากขึ้นเรื่อย ๆ และล่าสุดคือ นโยบายการควบคุมผักที่มีสารพิษตกค้างเกินกำหนด มิให้เข้ามาจำหน่ายในกรุงเทพมหานคร ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคปลอดภัยมากขึ้น และเกษตรกรเองก็ต้องปรับปรุงการเพาะปลูกให้ปลอดภัย ตามความต้องการของตลาดด้วย ไม่ว่าเกษตรกรคนไหน ๆ ก็อยากปลอดภัยจากสารเคมี ไม่มีใครอยากใช้สารเคมีเพราะอันตรายทั้งตนเองและผู้บริโภค แต่ถ้าไม่ใช้แล้วจะใช้อะไรทดแทน ปัญหาในการเพาะปลูกที่เกษตรกรพบมี 2 ประการใหญ่คือ เรื่อง ความอุดมสมบูรณ์ของดินถ้าไม่ใช้ปุ๋ยเคมีแล้วจะใช้อะไรทดแทน เพื่อที่จะปลูกพืชให้ได้ผลผลิตสูงและมีคุณภาพดี และอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือการป้องกันและกำจัดศัตรูพืช ถ้าไม่ใช้สารเคมีแล้วจะใช้อะไรทดแทน
แนวทางที่จะทำให้ดินเป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ เป็น ดินที่มีชีวิต สามารถเพาะปลูกพืชให้ได้ผลผลิตสูง และมีคุณภาพดีไม่ว่าจะเป็นพืชไร่-นา ผัก ผลไม้ ดอกไม้ก็ตาม และจะเป็นแนวทางที่จะสามารถผลิตผลผลิต ที่ปลอดภัยจากสารพิษทางการเกษตร ทั้งผู้ผลิต และผู้บริโภคช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม สามารถทำเป็นอาชีพได้อย่างยั่งยืน ซึ่งแนวทางนั้นก็คือ แนวทาง เกษตรธรรมชาติ นั่นเองความหมายของเกษตรธรรมชาติ
เกษตรธรรมชาติ หมายถึง การทำการเกษตรที่ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี และสารเคมีทางการเกษตรทุกชนิด แต่จะให้ความสำคัญของดินเป็นอันดับแรก ด้วยการปรับปรุงดินให้มีพลังในการเพาะปลูก เหมือนกับดินในป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ โดยการนำทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัดมาใช้ให้เกิดประโยชน์ สูงสุด เป็นวิธีการที่ไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสภาพแวดล้อม ไม่เป็นอันตรายต่อเกษตรกรและผู้บริโภค สามารถให้ผลผลิตที่มีทั้งปริมาณและคุณภาพ เป็นระบบเกษตรที่มีความยั่งยืน ถาวร เป็นอาชีพที่มั่นคงหลักเกษตรธรรมชาติ
ถ้าเราศึกษาสภาพป่าเราจะเห็นว่าในป่ามีต้นไม้นานาชนิดขึ้นปะปนกันอยู่เต็มไปหมด ผิวดินถูกปกคลุมไปด้วยใบไม้ที่หล่นทับถมกัน สัตว์ป่าถ่ายมูลไว้ที่ผิวหน้าดินคลุกเคล้ากับใบไม้และซากพืช มูลสัตว์รวมทั้งซากสัตว์ โดยมีสัตว์เล็ก ๆ เช่น ไส้เดือน กิ้งกือ จิ้งหรีด ฯลฯ กัดแทะเป็นชิ้นเล็ก ๆ และมีจุลินทรีย์ที่อยู่ในดินช่วยย่อยสลายจนกลายเป็นฮิวมัส ซึ่งเป็นแหล่งธาตุอาหารพืชและใช้ในการเจริญเติบโตของต้นไม้ในป่านั่นเอง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเอาปุ๋ยเคมีไปใส่ในป่า ซึ่งเกษตรกรสามารถเลียนแบบป่าได้โดยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยน้ำชีวภาพ และปุ๋ยพืชสด ใช้ปุ๋ยชีวภาพ เช่น ไรโซเบียม ไมโครไรซ่า เป็นต้น ทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมี นอกจากนี้ใบไม้และเศษพืชที่ปกคลุมผิวดินก็เป็นการคลุมผิวหน้าดินไว้ ป้องกันการสูญเสียความชื้นภายในดินทำให้หน้าดินอ่อนนุ่มสะดวกต่อการไชชอนของรากพืช ถ้าศึกษาต่อไปจะพบว่า แม้ไม่มีใครนำเอายาฆ่าแมลงไปฉีดพ่นให้ต้นไม้ในป่า แต่ต้นไม้ในป่าก็เจริญเติบโตแข็งแรงต้านทานโรคและแมลงได้ตามธรรมชาติ ถึงแม้จะมีโรคและแมลงรบกวนบ้างก็ไม่ถึงขั้นเสียหายและยังสามารถให้ผลผลิตได้ตามปกติ นั่นก็คือ ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่บนดินที่มีความอุดมสมบูรณ์จะสามารถต้านทานโรคและแมลงได้ นอกจากนี้พืชในป่าก็มิได้เป็นพืชชนิดเดียวกันทั้งหมด แต่เป็นพืชหลากหลายชนิดทำให้มีความหลากหลายทางชีวภาพ มีแหล่งอาหารที่หลากหลายของแมลง และแมลงบางชนิดก็เป็นแมลงศัตรูธรรมชาติของแมลงศัตรูพืช ดังนั้นจึงเกิดสมดุลตามธรรมชาติโอกาสที่แมลงศัตรูพืชจะระบาดจนเกิดความเสียหายจึงมีน้อย ดังนั้นเกษตรกรจึงสามารถจำลองสภาพป่าไว้ในไร่-นาโดยการปลูกพืชให้หลากหลายชนิด

ปลาสลิด


ลักษณะทั่วไปของปลาสลิด
ปลาสลิดหรือปลาใบไม เปนปลานํ้าจืด ซึ่งเปนปลาพื้นบาน
ของประเทศไทย มีแหลงกําเนิดอยูในที่ลุมภาคกลาง มีชื่อวิทยาศาสตร
วา Trichogaster pecteralis   และนิยมเลี้ยงกันมาก   บริเวณภาคกลาง
สวนที่พบในประเทศเพื่อนบาน เชน กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย อินโด
นีเซีย อินเดีย ปากีสถาน ศรีลังกา และฟลิปปนสนั้น เปนพันธุปลาที่สง
ไปจากเมืองไทย   เมื่อประมาณ 80-90 ปที่ผานมา และเรียกวา สยาม
หรือเซียมสําหรับแหลงปลาสลิดที่มีชื่อเสียเปนที่รูสักวามีรสชาติดี เนื้ออรอย คือ ปลาสลิดบางบอ
จังหวัดสมุทรปราการ แตปจจุบันโรงงานอุตสาหกรรมไดขยายตัวอยางแพรหลายทําใหนํ้าธรรมชาติที่จะ
ระบายลงสูบอเลี้ยงปลาสลิดมีคุณสมบัติไมเหมาะสม    สวนพื้นที่ดินพรุทางภาคใตในเขตจังหวัด
นราธิวาส ซึ่งเปนดินเปรี้ยวก็สามารถใชเปนที่เลี้ยงปลาสลิดไดเพราะปลาสลิดเปนปลาที่เลี้ยงงาย อดทน
ตอความเปนกรด และนํ้าที่มีปริมาณออกซิเจนนอยไดดี มีหวงโซอาหารสั้น คือ กินแพลงกตอนเปน
อาหารตนทุนการผลิตตํ่าโดยจะเลี้ยงอยูในนาคนเลี้ยงปลาสลิดเรียกวา ชาวนาปลาสลิด และบอเลี้ยง
ปลาสลิดเรียก แปลงนาปลาสลิดหรือลอมปลาสลิด กรมประมงจึงไดสงเสริมใหเลี้ยงปลาสลิดในพื้นที่
จังหวัดอื่น เชน จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อเพิ่มผลผลิตใหมีปริมาณเพียงพอตอการบริโภค และสงเปนสิน
คาออกในรูปผลิตภัณฑปลาสลิดเค็มตากแหง
อุปนิสัย
ปลาสลิดชอบอยูในบริเวณทีมีนํ้านิ่ง เชน หนอง บึง ตามบริเวณที่มีพันธุไมนํ้า เชน ผักและ
สาหราย เพื่อใชเปนที่พักอาศัยกําบังตัว และกอหวอดวางไข เนื่องจากปลาชนิดนี้โตเร็วในแหลงนํ้า
ธรรมชาติที่มีอาหารพวกพืช ไดแก สาหราย พืชและสัตวเล็กๆ จึงสามารถนําปลาสลิดมาเลี้ยงในบอและ
นาขาวไดเปนอยางดี
รูปรางลักษณะ
ปลาสลิดมีรูปรางคลายปลากระดี่หมอ แตขนาดโตกวา ลําตัวแบนขางมีครีบ ทองยาวครีบเดียว
สีของลําตัวมีสีเขียวออกเทา หรือมีสีคลํ้าเปนพื้นและมีริ้วดําพาดขวางตามลําตัวจากหัวถึงโคนหาง เกล็ด
บนเสนขางตัวประมาณ 42-47  เกล็ด ปากเล็กยืดหดได ปลาสลิดซึ่งมีขนาดใหญเต็มที่จะมีความยาว
ประมาณ 20 เซนติเมตร
โรค
ปลาสลิดไมคอยจะเปนโรครายแรง หากนํ้าในบอเสียจะสังเกตเห็นปลาขึ้นมาหายใจบนผิวนํ้า
เพราะออกซิเจนที่ละลายนํ้าไมเพียงพอ วิธีแกไขก็คือ ตองถายนํ้าเกาออกและระบายนํ้าใหมเขาหรือยาย
ปลาไปไวในบออื่น โดยเฉพาะมักจะเกิดเห็บปลา   ซึ่งมีลักษณะตวแบน   สีนํ้าตาลใสเกาะติดตามตัวปลา
มาดูดเลือดของปลากินความเจริญเติบโตของปลาชะงักลง ทําใหปลาผอม การกําจัดโดยระบายนํ้า
สะอาดเขาไปในบอใหมากๆ ตัวเห็บก็จะหายไปไดการปองกันโรคระบาดอีกประการหนึ่งก็คือ ปลาที่จะนํามาเปนพอแมพันธุ ถาปรากฏวา มีบาด
แผล ไมควรนําลงไปเลี้ยงรวมกันในบอ  เพราะปลาที่เปนแผลจะเปนโรคราและติดตอไปถึงปลาตัวอื่นได
(*) จากสภาพพื้นที่เลี้ยงปลาสลิดลดลง
การสืบพันธุ
ลักษณะเพศ
ลักษณะเพศ ปลาสลิดตัวผูและตัวเมียมีความแตกตางกัน ซึ่งสามารถสังเกตความแตกตางอยาง
เห็นไดชัด คือ ปลาตัวผูมีลําตัวยาวเรียว สันหลัง และสันทองเกือบเปนเสนตรงขนานกัน มีครีบหลังยาว
จรดหรือเลยโคนหางมีสีลําตัวเขมและสวยกวาตัวเมีย สวนตัวเมียมีสันทองยาวมนไมขนานกับสันทอง
และครีบหลังมนไมยาวจนถึงโคนหางสีตัวจางกวาตัวผู ในฤดูวางไขทองจะอูมเปงออกมาทั้งสองขาง
อัตราการปลอยพอแมพันธุปลาสลิด 1:1 เปนปลาขนาดกลาง นํ้าหนัก 10-12 ตัวตอกิโลกรัมดีที่สุด
การเพาะพันธุปลา
ปลาสลิด สามารถผสมพันธุแลวางไขไดเมื่อมีอายุ 7  เดือน ขนาดโตเต็มที่โดยเฉลี่ยจะมีขนาด
ตัวยาวประมาณ 6-7  นิ้ว หนัก 130-400  กรัม ปลาสลิดจะเริ่มวางไขตั้งแตเดือนเมษายนถึงเดือน
สิงหาคม หรือในฤดูฝน แมปลาตัวหนึ่งๆ จะสามารถวางไขไดหลายครั้ง แตละครั้งจะไดปริมาณไข
ประมาณ 4,000-10,000  ฟอง ในฤดูวางไข ทองแมปลาจะอูมเปงออกมาทั้งสองขาง ลักษณะของไข
ปลาสลิดมีสีเหลือง ทั้งนี้ ควรจัดที่ใหปลาสลิดวางไขภายในเดือนมีนาคม โดยหลังจากที่ไดกําจัดศัตรู
ระบายนํ้าเขา และปลอยพันธุปลาลงบอแลว ควรปลูกผักบุงรอบบริเวณชานบอ นํ้าลึกประมาณ 20-30 
เซนติเมตร ปลาสลิดจะเขาไปกอหวอดวางไข และลูกปลาวัยออนจะสามารถเลี้ยงตัวหลบหลีกศัตรูตาม
บริเวณชานบอนี้ได
การจัดการบอเพาะพันธุปลาสลิดเพื่อใหลูกปลามีอัตรารอดสูง
1. ระบายนํ้าเขาบอผานตะแกรงที่มีชองตาขนาด 1 มิลลิกรัม จนทวมชานบอโดยรอบใหมีระดับ
สูง 20-30  เซนติเมตร    ปลาจะเขากอหวอดวางไขมากขึ้นอาณาเขตบอก็จะกวางขวางกวาเดิมเปนการ
เพิ่มที่วางไข และที่เลี้ยงตัวลูกปลามากขึ้น
2.  สาดปุยมูล โคและมูลกระบือแหงบนบริเวณชานบอที่ไขนํ้าทวมขึ้นมาใหม ตามอัตราการใส
ปุย จะทําใหเกิดไรนํ้าและผักบนชานบอเจริญงอกงามขึ้นอีกดวย
3.  ปลอยใหผักขึ้นรกในบริเวณชานบอ ผักเหลานี้ปลาสลิดจะใชกอหวอดวางไข และเปนกําบัง
หลบหลีกศัตรูของลูกปลาในวัยออนจนกวาจะแข็งแรงเอาตัวรอดได
การวางไข
กอนปลาสลิดจะวางไข ปลาตัวผูจะเปนฝายเตรียมการเลือกสถานที่ และกอหวอดซึ่งเปนฟองนํ้า
ละลายไวในระหวางตนผักบุงโปรงไมหนาทึบเกินไป เชนเดียวกันปลากัดปลากริมและปลากระดี่ ปกติ
ปลาสลิดตัวเมียจะชอบวางไขในที่รมมากกวากลางแจง

กลอน


เจ้าหญิงเม็ดทราย กับ เจ้าชายพระจันทร์

หลับตาลงน่ะ…คนดี
คืนนี้มีนิทานจากฟากฝัน
เจ้าหญิงเม็ดทราย กับ เจ้าชายพระจันทร์
เธอเคยได้ฟังเรื่องราวเหล่านั้นบ้างไหม?
-  -  -  -  -  -
ครั้งหนึ่งในดินแดนแห่งโลกกว้าง
มีผืนทะเลอ้างว้างกับฟ้าใส
ทั้งสองอยู่ห่างกันเหมือนแดนฝันห่างไกล
ไม่อาจอยู่ใกล้ ไม่อาจผูกพัน
-  -  -  -  -  -
เจ้าหญิงเม็ดทราย…ช่างเหงา
แอบรัก เจ้าชายพระจันทร์เศร้า…ช่างฝัน
ในค่ำคืนเงียบสงบ ทุกวัน
เจ้าหญิงได้แต่มองอย่างเงียบงัน..เดียวดาย
-  -  -  -  -  -
ท้องทะเล ผู้อ่อนโยน
จึงทอดตัวไปจนไกลโพ้น..ลับหาย
จนปรากฎเส้นขอบฟ้า แสนไกล
จรดฟ้ากับทะเลไว้ใกล้กัน
-  -  -  -  -  -
เจ้าหญิงเม็ดทรายจึงล่องไปในทะเล
ร่อนเร่ไปตามแดนแห่งฝัน
ไปจนถึงเส้นขอบฟ้าจรดพระจันทร์
แล้ว ณ ที่นั้นความผูกพันก็เบ่งบาน
-  -  -  -  -  -
เจ้าหญิงเม็ดทราย เจ้าชายพระจันทร์
อบอุ่นในคืนวันอันอ่อนหวาน
และเรื่องราวที่เกิดขึ้นคือ..ตำนาน
ว่าทำไมฉันจึงผ่านเข้ามา…รักเธอ
(:ยังแคร์ จาก Thaipoem.com)

ให้อ่อนล้าสักปานใด..ฉันก็ยินดีจะตามไป เพื่อรักเธอ

ห นึ่ ง หั ว ใ จ ที่ เ ค ย ว่ า ง เ ป ล่ า
ฉาบทาด้วยความโศกเศร้า..ก็ได้พบเงาใครคนนั้น
ค ล้ า ย ชี วิ ต ถู ก เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง . . จ า ก หั ว ใ จ ที่ แ ห้ ง แ ล้ ง ม า น า น วั น
แต่งแต้มความศรัทธา..และไฟฝัน..ให้คนอย่างฉันได้พบเจอ
ข อ บ คุ ณ ส า ย ล ม แ ห่ ง โ ช ค ช ะ ต า
ที่หอบพัดเธอมา..สู่หัวใจไหวเพ้อ
ซึ บ ซั บ ค ว า ม ห ม า ย อั น อ บ อุ่ น . . ย า ม ที่ โ ล ก ห มุ น ม า พ บ เ ธ อ
คือความสวยงาม..คือความเลิศเลอและสิ่งที่ฉันจะตอบแทนเธอ..คือหัวใจ
ตั้ ง ใ จ ฟั ง ฉั น น ะ ค น ดี
รู้ไว้ว่าวันพรุ่งนี้..รักที่ฉันมีจะให้เธอมากกว่าวันไหนๆ
ไ ม่ ว่ า เ ธ อ จ ะ เ ป็ น ต ะ วั น ก ล้ า . . ห รื อ เ ป็ น โ ค้ ง ฟ้ า ที่ แ ส น ไ ก ล
ให้อ่อนล้าสักปานใด..ฉันก็ยินดีจะตามไป
- เพื่อรักเธอ -

ความรักไม่ใช่งานเลี้ยง ฉะนั้นอย่าได้มีวันเลิกลา

ความรักไม่ใช่งานเลี้ยง
ฉะนั้นอย่าได้มีวันเลิกลา

จะเก็บไว้ในความทรงจำ…ตลอดไป

อยากหยุด เวลา ไว้ตรงนี้
ไว้ตรงที่ มีเธอ และมีฉัน
กับความรู้สึก ที่ดี ทุกคืนวัน
จะเก็บไว้ในความทรงจำ…ตลอดไป

หัวใจยังมีว่าง จึงเสเพล..เคว้งคว้างไปทุกหน

หัวใจยังมีว่าง
จึงเสเพล..เคว้งคว้างไปทุกหน
แต่ไม่ใช่กับทุกทุกคน
เพียงบางหน…กับบางคนที่ถูกใจ

เมื่อเป็นหนึ่งไม่ได้ไม่เป็นไร เธอจำไว้เลขสองเราต้องการ

เมื่อเป็นหนึ่งไม่ได้ขอเป็นสอง
ขอเป็นรองจากเขาจะได้ไหม
เมื่อเป็นหนึ่งไม่ได้ไม่เป็นไร
เธอจำไว้เลขสองเราต้องการ

ความห่วงใย..และความรัก มันคือสิ่งที่ดีที่สุด ที่ฉันมีและฉันเป็น

ฉันอยากจะเป็น ..
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอชอบ
ที่เธออยากให้ฉันเป็น
แต่บางที..
เธอน่าจะมองให้ลึก
ถึงความจริงในตัวฉัน
เพราะไม่ว่า..
ฉันจะเป็นอย่างไร
แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่
ให้เธอได้รับรู้
คือความห่วงใย..และความรัก
มันคือสิ่งที่ดีที่สุด
ที่ฉันมีและฉันเป็น

ไม่หวังจากเธอมากมาย แค่สั้น ๆ ง่าย ๆ เท่านั้น

ไม่หวังจากเธอมากมาย
แค่สั้น ๆ ง่าย ๆ เท่านั้น
คือความจริงใจที่มีให้กัน
และความรักคงมั่นให้ฉันคนเดียว

อยากให้เธอเป็นแค่ทรายที่ไร้ค่า

ไม่อยากให้เธอเป็นคลื่น
ที่พัดมาครืนครืน แล้วเลือนหาย
จุดมุ่งหมายเพียงแค่ทักทาย
ไม่จริงจังมากมาย กับทะเล
อยากให้เธอเป็นแค่ทรายที่ไร้ค่า
แต่เคียงข้างทุกเวลา ที่ว้าเหว่
เหมือนบางวันที่เมฆฝน ลมเกเร
ทรายยังโอบกอดทะเล เพื่อปลอบโยน

อย่ามอง การจากลา ว่าทำร้าย

อย่ามอง การจากลา ว่าทำร้าย
ตรงกันข้าม…มันท้าทายความห่วงหา
ว่าเมื่อเรา ห่างไกล ไปสุดตา
ความผูกพัน จะมีค่าหรือเปลี่ยนไป
ในที่สุด จุดจบ ของบางอย่าง
ก็เป็นจุด เริ่มสร้าง บางสิ่งได้
จุดจบของการพบกัน คือการไกล
ก็เริ่มสร้าง ความห่วงใยได้พร้อมกัน

ความรู้สึกในใจ เธอมองเห็นมันหรือไม่

เธอเคยรู้ความจริงบ้างไหม
ว่าดวงดาวทั้งหลาย ในฟากฟ้า
ยังคงมีอยู่มากกมาย ทุกเวลา
ต่างกันตรงที่ว่า เราจะเห็นมันเมื่อฟ้ามืดไป
ความรู้สึกในหัวใจ ก็คล้ายกัน
สิ่งสำคัญ ไม่ใช่แค่การมองเห็นมันหรือไม่
แต่คือการที่สิ่งนั้นยังมีอยู่คงเดิมเสมอไป
ทุกเวลาของหัวใจยังผูกพัน
กลอนรัก

ฉันยังเป็นฉันเหมือนวันวาน คนที่มีเธอตลอดกาลในใจ

ยังเป็นคนที่คอยห่วง
แม้เวลาจะล่วงเลยผ่าน
ฉันยังเป็นฉันเหมือนวันวาน
คนที่มีเธอตลอดกาลในใจ

ในความไกลห่าง ความอ้างว้างนั้นยาวยืน

ในความไกลห่าง
ความอ้างว้างนั้นยาวยืน
ครอบคลุมทุกค่ำคืน
ทั้งหลับตื่น ทุกลมหายใจ
ไม่ใช่ขาดเธอแล้วโลกดับ
แต่ถ้ามีเธอโลกจะกลับเป็นแจ่มใส
ไม่ใช่ห่างเธอแล้วจะขาดใจ
แต่ถ้ามีเธอคอยห่วงใย
ก็จะดี กับหัวใจ มากกว่ากัน


อ่านต่อ:http://www.klonthai.com/category/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81#ixzz1mVUc0zqy